
ละครเกาหลีกลับสู่โลกออฟฟิศ! 'แท-พุง ซัง-ซา' และ 'เรื่องของคิม-บู-จัง' ส่องชีวิตคนทำงานยุค IMF ถึงปัจจุบัน
วงการละครเกาหลีกำลังพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่บรรยากาศออฟฟิศอีกครั้ง หลังซีรีส์ใหม่ 2 เรื่องอย่าง tvN ‘แท-พุง ซัง-ซา’ (Typhoon Sangsa) และ JTBC ‘เรื่องของคิม-บู-จัง แห่งบริษัทใหญ่ในโซล’ (The Story of Mr. Kim, Who Works for a Large Corporation in Seoul) ได้นำเสนอภาพชีวิตพนักงานออฟฟิศ ทั้งรอยยิ้มที่เกร็งๆ ในงานเลี้ยง, เสียงถอนหายใจหน้าตาราง Excel, และการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละวันภายใต้แรงกดดันของคำว่า ‘ผลงาน’
‘แท-พุง ซัง-ซา’ พาผู้ชมย้อนกลับไปยังยุค IMF วิกฤตเศรษฐกิจที่สร้างความสิ้นหวัง แต่กลับถูกนำเสนอเป็นเรื่องราวแห่งความหวังในการฟื้นฟูบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย โดยมี ‘คัง แท-พุง’ (รับบทโดย อี จุน-โฮ) ชายหนุ่มที่เคยเป็น ‘ออเรนจิ โจก’ (Orange Tribe) ในย่านอับกูจอง ต้องมารับช่วงต่อธุรกิจของพ่อที่เสียชีวิตไป และเขาได้ร่วมมือกับ ‘โอ มิ-ซอน’ (รับบทโดย คิม มิน-ฮา) พนักงานบัญชี เพื่อกอบกู้บริษัทจากภาวะล้มละลาย ซึ่งเป็นมากกว่าแค่เรื่องราวการเติบโต แต่เป็นการเล่าเรื่องการฟื้นฟูชุมชน
รายละเอียดในยุคสมัยที่แม่นยำ เช่น เพจเจอร์, ซิตี้โฟน, โทรเลข, และเทปคาสเซ็ตต์ ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเข้าถึงอารมณ์ของยุค 90 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งทรงผม การแต่งหน้า และเสื้อผ้า ล้วนสะท้อนกลิ่นอายของ ‘วันวาน’ ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ความสมจริงของฉากและเครื่องแต่งกายนี้ไม่ใช่แค่การเรียกความทรงจำ แต่เป็นกลไกสำคัญที่ใช้ในการถ่ายทอดเรื่องราวการเอาชีวิตรอดของคนรุ่นหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้ต่อความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจ
ในขณะที่ ‘เรื่องของคิม-บู-จัง’ นำเสนอภาพ ‘มนุษย์ออฟฟิศ’ จากมุมมองที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ‘คิม นัก-ซู’ (รับบทโดย รยู ซึง-รยง) เป็นชายผู้ดูเหมือนประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการทำงานในบริษัทใหญ่มา 25 ปี, การมีบ้านเป็นของตัวเองในโซล, มีลูกชายเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำ, และขับรถหรู
แต่กล้องกลับเจาะลึกความว่างเปล่าเบื้องหลังรูปลักษณ์ภายนอกอันหรูหรานั้น เผยให้เห็นความไม่สมบูรณ์ของชายที่ต้องดิ้นรนในองค์กร, พ่อที่ถูกลูกเมินหน้าหนี, และมนุษย์ที่จำกัดชีวิตของตัวเองไว้กับลำดับชั้นในบริษัท ความน่าสมเพชนี้ปรากฏชัดขึ้น
‘คิม-บู-จัง’ มีใบหน้าเหมือนหัวหน้าที่เราคุ้นเคย ความดื้อรั้นที่บอกลูกชายว่า “ไปเป็นทหารซะ”, ความหน้าไหว้หลังหลอกในการสั่งให้ลูกน้องยอมสละตำแหน่งที่สูงขึ้น, และความอิจฉาที่รู้สึกต่อความสำเร็จของเพื่อนร่วมงาน ฉากที่เขาเลือกรองเท้าโดยคำนึงถึงราคาที่ ‘แพงกว่าเพื่อนร่วมงาน แต่ถูกกว่ารุ่นน้อง’ สะท้อนถึงจิตสำนึกที่ซับซ้อนของคนในยุคเขาได้อย่างดี ‘เรื่องของคิม-บู-จัง’ จึงกลายเป็นละครเสียดสีสังคมที่ซ่อนความขมขื่นไว้ภายใต้เสียงหัวเราะ
ความนิยมของทั้งสองซีรีส์นี้เกิดจากการ ‘สะท้อนความเป็นจริง’ อย่างแท้จริง ประสบการณ์ที่ทุกคนน่าจะเคยพบเจอถูกหลอมรวมเข้ากับเนื้อเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะมาจากยุคสมัยที่ต่างกัน แต่ทั้งสองเรื่องมีจุดร่วมคือการนำ ‘สถานที่ทำงาน’ มาเป็นเวทีของชีวิต และเล่าเรื่อง ‘การเอาชีวิตรอดของคนธรรมดา’ ซึ่งสร้างความรู้สึกร่วมและเชื่อมโยงคนต่างรุ่นเข้าด้วยกัน
นักวิจารณ์วัฒนธรรม ‘จอง ด็อก-ฮยอน’ กล่าวว่า “ผู้ชมรู้สึกเข้าถึงเนื้อหาที่ฉายภาพความจริงได้อย่างมากมานานแล้ว ในยุคที่ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ชมจึงต้องการการปลอบประโลมจากเรื่องราวที่สะท้อนความทุกข์ของพวกเขาเอง การจับจุดความต้องการของสาธารณชนต่อ ‘คอนเทนต์ที่สร้างความรู้สึกร่วม’ ได้อย่างแม่นยำ คือปัจจัยที่ทำให้ทั้งสองเรื่องประสบความสำเร็จ”
ชาวเน็ตเกาหลีต่างชื่นชมความสมจริงของซีรีส์ โดยแสดงความคิดเห็นว่า 'ดูแล้วเหมือนเห็นตัวเองในที่ทำงานเลย', 'การย้อนยุคในเรื่องแรกทำได้ดีมากจนอยากย้อนกลับไปใช้ชีวิตช่วงนั้นเลย', และ 'เรื่องของคิม-บู-จัง ทำให้คิดถึงหัวหน้าตัวเองมากๆ เลย'