
จาก 8,000 วอน สู่เศรษฐีข้าว 97,000 ล้านบาท! เปิดใจ 'เศรษฐีข้าว' อี นึง-กู ผู้ฝ่าฟันอุปสรรค
ย้อนรอยชีวิตสุดเข้มข้นของ อี นึง-กู ประธาน 'เศรษฐีข้าว' ผู้เริ่มต้นจากเงินเพียง 8,000 วอน สู่การเป็นเจ้าของธุรกิจมูลค่า 97,000 ล้านบาท จากการคิดค้นสิทธิบัตรอันชาญฉลาด
รายการ EBS 'เพื่อนบ้านของซอ จัง-ฮุน' ทางช่อง EBS ได้เผยเรื่องราวของ อี นึง-กู ประธาน 'เศรษฐีข้าว' ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่มีอายุมากที่สุดที่เคยปรากฏในรายการ
ประธาน อี นึง-กู เกิดในครอบครัวเกษตรกรที่ยากจนในช่วงทศวรรษที่ 1940 ปัจจุบันอายุ 80 กว่าปี ท่านได้อุทิศชีวิตกว่า 50 ปีให้กับ 'ผลิตภัณฑ์จากข้าว' จนได้รับการยอมรับและได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากประธานาธิบดีถึงสองครั้ง
ลูกสาวของท่าน ประธาน อี นึง-กู ผู้แจ้งเบาะแสในรายการ เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า 'พ่อของฉันชอบพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ตื่นเช้ามาก็จะมีสินค้าใหม่วางขายแล้ว'
คุณูปการที่โดดเด่นของประธาน อี นึง-กู ได้แก่ เครื่องทำซุปแบบดั้งเดิมที่คงรสชาติอร่อย, เครื่องนึ่งที่เพิ่มกำลังการผลิตจาก 60 กิโลกรัมต่อวัน เป็น 60 กิโลกรัมใน 3 นาที, และ 'เทคนิคการแช่แอลกอฮอล์' ที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาขนมข้าวให้ยาวนานขึ้นอย่างน่าทึ่ง
ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ ท่านได้เปิดเผยสิทธิบัตรเหล่านี้สู่ตลาด ซึ่งได้เปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร นอกจากนี้ ในปี 1986 ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวส่วนเกินมีจำนวนมาก ท่านได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้พัฒนา 'บะหมี่ข้าว' จากข้าวหลวงเป็นรายแรกของประเทศ
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์กว่า 400 ชนิด ที่ผ่านการคิดค้นและพัฒนาโดยประธาน อี นึง-กู ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารชาวเกาหลี
แต่ชีวิตของท่านไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ในวัย 28 ปี ท่านสูญเสียลูกชายคนแรกจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ทำให้ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงด้วยเงินเพียง 8,000 วอน ซึ่งเป็นค่าข้าวหนึ่งกระสอบในสมัยนั้น
เงินนั้นถูกใช้เป็นค่าเดินทางจนหมดตัว ท่านจึงทำงานเป็นพนักงานส่งของ ก่อนจะเริ่มขายขนมข้าว
ท่านเล่าถึงความทรงจำอันเจ็บปวดว่า 'ทั้งที่อากาศหนาวติดลบ 20 องศา แต่ฉันก็เหงื่อออกท่วมตัว มือก็แตกจนเลือดไหลลงพื้น' ในช่วงที่ต้องดิ้นรนหาหนทางขายของ
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อท่านสามารถเจาะตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตในย่านอพาร์ตเมนต์หรู 'คังนัม' ที่กำลังพัฒนาในขณะนั้น
ประธาน อี นึง-กู อธิบายปรัชญาการบริหารว่า 'ขนมข้าว 400 กรัม ราคา 400 วอน ขนมแป้งสาลี 3 กิโลกรัม ราคา 400 วอน ถ้าสินค้าดีและอร่อย ผู้บริโภคก็จะยอมซื้อทั้งในอดีตและปัจจุบัน'
แต่หลังจากประสบความสำเร็จ ก็มีวิกฤตเข้ามาอีกครั้ง ในวัย 57 ปี ท่านประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ภรรยาต้องเข้าโรงพยาบาล และท่านก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
ท่านเล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า 'หมอบอกว่าฉันอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3 ปี ปากก็เบี้ยว น้ำลายก็ไหล...'
แต่ท่านก็สามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ปัจจุบันท่านมีโรงงานขนาด 2,000 พยองในพาจู จังหวัดคยองกี และ 30,000 พยองในชองยาง จังหวัดชุงชอง พร้อมกำลังการผลิต 400,000 มื้อต่อวัน
ถึงแม้จะมีโรงงานขนาดใหญ่ แต่บ้านพักของท่านกลับเรียบง่ายอย่างน่าประหลาดใจ ยกเว้นขนาดที่กว้างขวาง ถุงใส่นมที่แขวนหน้าประตู กรอบรูป 2 ดอลลาร์ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี และรูปครอบครัวที่เต็มผนัง ล้วนสะท้อนปรัชญาชีวิตของท่าน
ท่านกล่าวเน้นย้ำว่า 'เงินไม่ว่าจะมีมากแค่ไหน ก็ต้องใช้ในสิ่งที่จำเป็น การหลงตัวเองเพราะคิดว่ามีทรัพย์สินมากเกินไป... ไม่ใช่สไตล์ของเรา'
ซอ จัง-ฮุน ถามคำถามที่คาดไม่ถึงว่า 'เคยมีบริษัทอื่นยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการบ้างไหมครับ?'
ประธาน อี นึง-กู ตอบกลับด้วยความเชื่อมั่นและความภาคภูมิใจว่า 'เราไม่มีหนี้สิน อาหารเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับความโลภไม่ได้'
ชาวเน็ตเกาหลีต่างชื่นชมในความพากเพียรและความสำเร็จของท่านอี นึง-กู บางส่วนแสดงความคิดเห็นว่า 'นี่คือตัวอย่างที่แท้จริงของความสำเร็จที่มาจากความพยายาม' และ 'น่าทึ่งมากที่ท่านไม่เคยโลภ และยังคงยึดมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์'