
คู่รักข้ามชาติ 'จินอู-แฮตตี้' พิชิตใจ 10 ล้านผู้ติดตาม สู่ดาวเด่นยุค '숏폼'
ในยุคที่แพลตฟอร์มและอัลกอริทึมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 'จินอู' ชายหนุ่มชาวเกาหลี และ 'แฮตตี้' หญิงสาวชาวอังกฤษ ภรรยาของเขา ได้กลายเป็นหน้าตาแห่งยุค '숏폼' ด้วยการสร้างสรรค์คอนเทนต์คู่รักนานาชาติที่ครองใจผู้ติดตามกว่า 10.1 ล้านคน และมียอดวิวสะสมสูงถึง 7.7 พันล้านครั้ง
พวกเขาไม่เพียงแต่สร้างกระแสในโลกโซเชียล แต่ยังขยายอิทธิพลไปสู่วงการโทรทัศน์ ได้รับเชิญเข้าร่วมอีเวนต์โปรโมต K-drama ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความสำเร็จที่เหนือกว่าแพลตฟอร์มออนไลน์
ย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้น แฮตตี้ต้องการมาตั้งรกรากในเกาหลี แต่ยังมีอุปสรรค จินอูได้เสนอไอเดียทำช่อง YouTube คู่รักเพื่อก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปด้วยกัน "ตอนนั้นเราทั้งคู่ไม่มีทั้งเงินและกำลังใจ แฮตตี้อาจจะต้องกลับประเทศ แต่เราตัดสินใจว่าจะสู้ไปด้วยกัน" จินอูกล่าวถึงจุดเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่เชื่อมั่นในกันและกัน
เสน่ห์ของช่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การเป็น 'คู่รักนานาชาติ' เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแบ่งปันเรื่องราวความสัมพันธ์ทั้งสุขและทุกข์อย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่การพบรักครั้งแรก การแต่งงาน ชีวิตประจำวัน ไปจนถึงความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ผู้ติดตามต่างเปรียบช่องนี้เหมือนซีรีส์ยาวที่ติดตามทุกตอน
ตั้งแต่เหตุการณ์หลงทางสองชั่วโมงจนมาเจอกันที่ร้านสะดวกซื้อ ไปจนถึงช่วงเวลาที่ภาษาและทัศนคติของทั้งคู่ปะทะกัน ทุกอย่างถูกนำมาเล่าเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงการเติบโตทางอารมณ์ของทั้งคู่
แฮตตี้กล่าวว่า "เราไม่ได้พยายามสร้างเรื่อง แค่ใช้ชีวิตจริงของเรา ทะเลาะกันจริง แล้วก็คืนดีกันจริง พอเราแสดงออกไปตรงๆ คนดูก็เลยบอกว่ารู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวที่คอยดูมาตั้งแต่แรก"
ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในยุค '숏폼' ช่อง 'จินอูและแฮตตี้' มีความโดดเด่นแตกต่างจากครีเอเตอร์คู่รักอื่นๆ ด้วยจังหวะที่สดใส เกิดจากการปะทะกันระหว่างรีแอคชั่นที่แสดงออกอย่างอิสระของแฮตตี้ และรีแอคชั่นแบบเกาหลีที่ค่อนข้างนิ่งของจินอู รวมถึงการนำเสนอความแตกต่างทางวัฒนธรรมของทั้งสองชาติอย่างเบาสมอง
จินอูอธิบายว่า "พวกเราอยากแสดงคาแรคเตอร์ของกันและกันก่อน มากกว่าคอนเซ็ปต์ 'คู่รักนานาชาติ' ผมรับพลังจากแฮตตี้ และเมื่ออารมณ์ขันแบบอังกฤษกับรีแอคชั่นแบบเกาหลีผสมกัน ความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็ปรากฏออกมาเอง ทำให้คนเกาหลีและผู้ชมต่างชาติหัวเราะไปพร้อมๆ กันได้"
วิธีการถ่ายทำนั้นเรียบง่ายอย่างน่าทึ่ง พวกเขาจะวาดภาพฉากในหัวแล้วเริ่มถ่ายทำทันที โดยไม่ต้องมีสคริปต์ และตัดต่ออย่างรวดเร็วด้วยโปรแกรม แม้ว่าวิธีการถ่ายทำที่ดำเนินไปตามสัญชาตญาณจะดูไม่เป็นระบบ แต่กลับเข้ากับไลฟ์สไตล์และเคมีที่เข้ากันของทั้งคู่
"ไอเดียส่วนใหญ่มักจะมาจากชีวิตประจำวัน ตอนนี้เราก็ใช้ AI หาข้อมูลอ้างอิง แต่สุดท้ายสถานการณ์ที่มาจากชีวิตจริงก็สื่อสารได้ดีที่สุด" จินอูเล่าถึงการทำงานที่เน้นประสิทธิภาพสูงสุดในเวลาที่สั้นที่สุด "ทีมงานที่ทำงานกับเราบอกว่า 'เป็นทีมที่ทำงานเสร็จเร็วที่สุด'"
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกอย่างจะสดใสเสมอไป ความกดดันที่เกิดจากเส้นแบ่งที่เลือนรางระหว่างการถ่ายทำกับชีวิตประจำวัน เป็นความท้าทายที่พวกเขาพูดถึงซ้ำๆ ในช่วงแรกที่มีการอัปโหลดเนื้อหาบ่อยครั้ง พวกเขาเผชิญกับความเครียดจาก 'ไอเดียหมด' และ 'การตัดสินตัวเอง'
แฮตตี้ยอมรับว่า "บางทีก็รู้สึกเหมือนกล้องเปิดอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เราพยายามจะเว้นเวลาที่ไม่ต้องแชร์อะไรบ้าง เริ่มเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องแสดงออกทุกอย่าง"
จินอูเสริมว่า "ตอนนี้เรามีความกังวลเรื่อง 'ก้าวไปสู่ขั้นต่อไป' มากกว่าความเหนื่อยล้าธรรมดา" พวกเขามีแผนที่จะยกระดับช่องให้เป็นแพลตฟอร์มใหม่ ไม่ใช่แค่การบันทึกเรื่องราว แต่รวมถึงการบุกตลาดต่างประเทศ การวางแผนรูปแบบรายการวาไรตี้ และการผลิตละครสั้น
อนาคตที่ทั้งคู่ใฝ่ฝันคือ 'การขยายขอบเขตการสร้างสรรค์' ช่องคู่รักที่เริ่มต้นจากวิดีโอสั้นๆ จะขยายไปสู่สตูดิโอขนาดเล็ก ที่ซึ่งคอนเทนต์การแสดง คอมเมดี้ สารคดี และไลฟ์สตรีม จะถูกผสมผสานเข้าด้วยกัน
จินอูและแฮตตี้กล่าวเสริมว่า "ถึงแม้จะเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง แต่ '숏폼' ยังมีโอกาส เราเชื่อว่าวิดีโอขนาดยาวถูกครอบงำโดยบริษัทผลิตรายใหญ่ไปแล้ว แต่รูปแบบสั้นๆ อย่าง Shorts หรือ TikTok ยังเป็นพื้นที่ที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาสร้างผลงานและประสบความสำเร็จได้"
ชาวเน็ตเกาหลีต่างชื่นชมความสัมพันธ์ที่จริงใจและเคมีที่เข้ากันของทั้งคู่ หลายคนแสดงความคิดเห็นว่า "ดูแล้วอบอุ่นหัวใจเหมือนดูคนในครอบครัว" และ "พวกเขาทำให้เห็นว่าความรักและความเข้าใจสามารถก้าวข้ามกำแพงวัฒนธรรมไปได้จริงๆ"