เมื่อความสิ้นหวังกลายเป็นทางเลือก: ถอดรหัส 'No Other Choice' ของพัคชาน-อุค

Article Image

เมื่อความสิ้นหวังกลายเป็นทางเลือก: ถอดรหัส 'No Other Choice' ของพัคชาน-อุค

Haneul Kwon · 25 กันยายน 2568 เวลา 22:06

ภาพยนตร์เรื่อง 'No Other Choice' ที่เพิ่งเข้าฉายเมื่อวันที่ 24 ที่ผ่านมา ได้พาผลงานของผู้กำกับพัคชาน-อุค ก้าวเข้าใกล้ผู้ชมในวงกว้างมากขึ้นกว่าที่เคย

ในผลงานนี้ ผู้กำกับพัคได้ทลายกรอบการเป็นผู้กำกับผู้ยิ่งใหญ่แต่เข้าถึงยาก โดยไม่ตกหลุมพรางของการสร้างตัวเองซ้ำรอย บทความนี้จะพาไปสำรวจทางเลือกอันน่าหลงใหลที่ทำให้เราไม่อาจปฏิเสธได้

**ที่ทำงาน หรือ ที่ที่ต้องเสียไป**

ตัวละครหลักอย่าง มัน-ซู ชายผู้ทำงานที่ 'แท-ยัง' มากว่า 25 ปี ต้องเผชิญกับการถูกเลิกจ้างเมื่อบริษัทถูกเทคโอเวอร์โดยบริษัทต่างชาติ บริษัทใหม่ที่เขาหมายตาคือ 'มุน' ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่บุกเบิกเส้นทางใหม่ในอุตสาหกรรมกระดาษที่กำลังซบเซา แต่ถึงกระนั้น ด้วยกระแสการทำงานอัตโนมัติในโรงงาน ก็ยังคงสร้างความไม่มั่นคงให้กับมัน-ซู ตำแหน่งของเขาที่เคยคิดว่าเป็นแค่คนงานโรงงานกลับกลายเป็นจุดที่สามารถถูกเลิกจ้างได้ทุกเมื่อ

แสงแดดในเรื่องกลับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่รบกวนมัน-ซู แม้กระทั่งในการสัมภาษณ์เพื่อหางานใหม่ แสงแดดที่กำลังจะลับขอบฟ้ากลับทำให้เขาเสียสมาธิ แสงแดดที่จ้าเกินไปจนมนุษย์ไม่อาจลืมตาได้ ทำให้มัน-ซูตัดสินใจผิดพลาดในจังหวะสำคัญ แสงแดดที่ปกติมักถูกมองว่าเป็นความอบอุ่น กลับมีความหมายตรงกันข้ามใน 'No Other Choice' ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาบิดเบี้ยวนี้นั่นเอง

**มัน 'มี' ทางเลือก**

ดังที่ชื่อเรื่องบ่งชี้ ภาพยนตร์เน้นย้ำถึงโอกาสในการเลือกอยู่ตลอดเวลา หลังจากการถูกเลิกจ้าง มัน-ซูอาจจะได้ใช้เวลาทบทวนตัวเองและพัฒนาตนเอง หรืออาจจะทำตามคำแนะนำของภรรยา มิ-รี โดยการขายบ้านและลดค่าใช้จ่ายเพื่อไปทำอย่างอื่น หรืออาจจะเหมือน ซี-โจ ที่เลือกหางานอื่นแม้จะรู้สึกอัปยศอดสูในตอนแรก

มิ-รีเองก็สามารถสืบหาความจริงได้โดยไม่ปล่อยผ่านพฤติกรรมของมัน-ซู และ บอม-โม ก็สามารถทำตามคำแนะนำของภรรยา อา-รา โดยไม่จมปลักอยู่กับความผิดหวังหลังถูกเลิกจ้าง และเปิดร้านกาแฟดนตรี สิ่งสำคัญไม่ใช่การถูกเลิกจ้าง แต่เป็น 'ทัศนคติหลังถูกเลิกจ้าง' อย่างไรก็ตาม ทุกคนกลับเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสของตนเองและอ้างว่า 'ทำอะไรไม่ได้'

**สูญเสียทั้งเงินและคุณธรรม**

มัน-ซูเคยเป็นสามีที่กล้าขอแต่งงานกับมิ-รีผู้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว และเป็นพ่อที่ใจดีต่อลูกๆ แต่เมื่อสูญเสียความภาคภูมิใจจากการถูกเลิกจ้าง เขากลับแสดงพฤติกรรมครอบงำภรรยา ความน่าสะพรึงกลัวยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อการกระทำเหล่านั้นไม่ใช่ความรุนแรงทางกายภาพโดยตรง ชายหนุ่มผู้ลังเลที่จะแข่งขันกับคู่แข่งในการหางานใหม่ กลับไม่ลังเลเลยที่จะค้นเสื้อผ้าชั้นในของภรรยาเมื่อเสียการควบคุม

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงต้นเรื่อง มัน-ซูเคยเน้นย้ำถึงความสามัคคีกับเพื่อนร่วมงานว่า 'ถ้าพวกคุณออกไป ฉันจะทำงานกับใคร' แต่ในการสัมภาษณ์งานครั้งสุดท้าย เขาพยายามเอาตัวรอดคนเดียว เมื่อถูกถามว่าเขาต่อต้านการทำงานอัตโนมัติในโรงงานกระดาษหรือไม่ เขากลับตอบว่า 'แต่ก็ยังต้องมีคนสักคนอยู่ไหม?' นี่คือความแตกต่างก่อนและหลังประสบกับการถูกเลิกจ้าง ช่างเป็นความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งที่เบาบางเหลือเกิน ในกระบวนการทั้งหมดนี้ การสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจทำให้มัน-ซูขี้ขลาดอย่างเห็นได้ชัด

**อีกด้านของพัคชาน-อุค**

ตลอดทั้งเรื่อง ผู้กำกับพัคชาน-อุค นำเสนอความเป็นจริง ความขี้ขลาด และความรุนแรงของมัน-ซูอย่างเบาสบาย ราวกับขนนก ปัญหาการเอาชีวิตรอดและการดำรงอยู่ทำให้ทุกสิ่งดูเบาบาง และในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่สามารถหัวเราะได้เมื่อมองจากมุมมองที่ห่างออกไป

'No Other Choice' เป็นภาพยนตร์แนวตลกร้ายได้อย่างแท้จริง หัวเราะไปพร้อมกับความขมขื่น และร้องไห้ไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ แม้จะมอบความรู้สึกที่เกิดขึ้นทันทีในแต่ละฉาก แต่เส้นอารมณ์ของการดำเนินเรื่องก็ไม่ได้มีเพียงมิติเดียว ทำให้มอบความรู้สึกที่ซับซ้อน

ยิ่งไปกว่านั้น 'No Other Choice' สัมผัสใจผู้ชมทุกคนที่เคยพยายามหางานและสมัครงาน ที่ซึ่งการหางานใหม่สำหรับวัยกลางคน 40-50 ปี กำลังเป็นประเด็นทางสังคม และในยุคที่ AI อัตโนมัติกำลังแข่งขันกับมนุษย์เพื่อแย่งชิงงาน ในขณะที่ผลงานก่อนๆ ของผู้กำกับผู้เป็นที่รักอย่าง 'Oldboy', 'Lady Vengeance', 'The Handmaiden', 'Decision to Leave' นำเสนอเรื่องราวสุดขั้วอย่างการแก้แค้นหรือความรักอย่างเฉียบคม 'No Other Choice' นำเสนอเรื่องราวที่แพร่หลายออกไปอย่างนุ่มนวลกว่า

วิธีการนำเสนอที่ตรงไปตรงมาก็แตกต่างจากผลงานก่อนๆ ที่ทำให้ผู้ชมค้นหาความหมายเชิงสัญลักษณ์และนัยที่ซ่อนอยู่ แม้ว่าความชอบส่วนบุคคลอาจแตกต่างกันไป แต่ความคาดหวังที่มีต่อพัคชาน-อุค และเสน่ห์ที่ทำให้กลับมาชมอีกครั้งแม้จะรู้เนื้อเรื่องแล้ว ก็ยังคงอยู่กับ 'No Other Choice' อย่างแน่นอน

พัคชาน-อุค (Park Chan-wook) เป็นที่รู้จักจากสไตล์ภาพยนตร์ที่เป็นเอกลักษณ์และมักจะสำรวจธีมที่มืดมนและรุนแรง ผลงานก่อนหน้านี้อย่าง 'Oldboy' ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางและชนะรางวัล Grand Prix ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปี 2004 เขายังคงเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่มีอิทธิพลมากที่สุดในวงการภาพยนตร์เกาหลีใต้.